วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สลัดเรื่องไร้สาระ


วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ เกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง...ครั้งแล้วครั้งเล่า นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติ และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติ หรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้ 1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป 2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลานิดหนึ่งก็ไม่ได้ นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรม โรคภัยรุมเร้า เพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา วิธีแก้ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง 3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น เพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวัง ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด วิธีแก้ เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต ถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด (แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริต เพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว) 4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรงวิธีแก้ ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ วิธีแก้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเอง ว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู 6. คิดเอาชนะผู้อื่น การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก ต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว วิธีแก้ พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน 8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น 9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น คิดทำไมไร้สาระทำตัวให้มีประโยชน์ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจากการกระทำก็พอ

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คติดีๆ

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ

ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~ คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ไฟช๊อต

ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ..... ก่อนอื่นผมขอออกตัวนะครับทุกท่าน ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้เลิศเลอ มากมาย เพียงแต่อยากจะนำความรู้ที่พอมี และประสบการณ์มาแบ่งปันกันบ้างในฐานะที่เราอยู่ใต้ร่มโพธิ์ อาศัยพระบารมีของพระองค์ท่าน ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาตลอด มีคุณอนันต์ แต่มีโทษมหันต์ครับ ผมไปเรียนซ่อม วิทยุโทรทัศน์ เครื่องขยายเสียงและ..ฯ กับคุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ คนขอนแก่น ท่านเป็นช่างยุคแรก ๆ ของเมืองไทย เคยอยู่โรงเรียนแสงทองวิทยุโทรทัศน์ ,อิเล็กทรอนิคส์กรุงเทพ-รังสิต สุดท้ายกลับบ้านสร้างโรงเรียนสอนซ่อมโทรทัศน์ที่ อ.ชุมแพ ขอนแก่นโน่น ท่านแนะนำเกี่ยวกับคนที่โดนไฟฟ้าช็อตตาย ตายนะครับ อย่าปล่อยไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง และอย่าเพิ่งรีบส่งโรงพยาบาล ให้หาทางคลายประจุไฟฟ้าในตัวคนตายก่อน โดยหาแผ่นเหล็ก หรือสังกะสีมาวางคนที่โดนไฟฟ้าช็อตบนนั้น แล้วเทน้ำราด(อย่าให้น้ำเข้าจมูกนะครับ กระแสไฟที่อยู่ในตัวจะถูกคลายประจุลงดินครับ..เขาจะค่อย ๆ รู้สึกตัว หรือร้องลั่น ก็แล้วแต่ ฟื้นแล้วค่อยส่งโรงพยาบาล ผมเคยเจอมากับตัวเองครับ ฟื้นครับ สิบราย ฟื้นทั้งสิบครับ สมัยก่อน นะครับ คนที่ถูกฟ้าลงข้าง ๆ ตัว (ไม่ถึง กะตัวไหม้เกรียมนะครับ)เขาใช้ น้ำเหล้าขาวที่ดื่มกันมาเป่า ก็ ยังฟื้นได้นับประสาอะไรกับน้ำเป็นครุถัง แต่ถ้านำไปโรงพยาบาลทันที โดนปั๊มหัวใจทันที ตับแตกตายแน่นอนครับท่าน สาเหตุเพราะว่ากระแสไฟฟ้าชาร์ทประจุอยู่เต็มตัว ฉะนั้นจึงให้คลายประจุก่อน จึงค่อยส่งโรงพยาบาลและขอแนะนำว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดให้ทำการต่อสายดินเอาที่เส้นโต ๆ หน่อยหาเหล็กแท่งมาตอกลงดินเทน้ำให้ชื้น ๆ คนใช้ ก็ จะปลอดภัยครับส่วนสาเหตุที่ เมื่อต่อสายดินแล้วทำไมไฟฟ้าไม่ช็อตนั้นตามหลักการแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวนำที่เป็นสื่อทุกชนิด มากน้อยแล้วแต่ความต้านทานของสื่อไฟฟ้าครับ ความต้านทานน้อย กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านมาก ความต้านทานมากกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านได้น้อย ขอให้ท่านสังเกตุดูนะครับว่าเสาไฟฟ้าแรงต่ำจะมีสายต่อลงดินเป็นระยะ ๆ ไป นั่นก็เป็นการป้องกันในระดับหนึ่งครับ เรื่องของสายล่อฟ้าก็เช่นเดียวกันไม่ใช่ไม่ให้ฟ้าลงนะครับ แต่เป็นการล่อให้มันลงมา ลงมาทีละน้อย ๆ ไง. มันจึงไม่ผ่าเพราะประจุไฟฟ้าไม่มากพอ ถ้าท่านไม่เชื่อ ในขณะครื้มฟ้าครื้มฝนลองไปยืนใกล้ ๆสายล่อฟ้าดูนะครับ จะมีกระแสไฟฟ้าทำให้เราขนลุกได้แต่ไม่มีอันตราย ......ขอจบตรงนี้นะครับ ความดี นี้ขอมอบแด่คุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ครับ...

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เชียร์ทีมไหน


ฟุตบอลโลก ที่แอฟริกาใต้ 2010 เพื่อนๆ เชียร์ทีมไหนให้เป็นแชมป์บ้างเอ่ย
ส่วนข้าพเจ้านะ เชียร์ อาเจนติน่า แล้วเพื่อนๆ ล่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มายเกรน

ไมเกรน" (Migraine) เป็นโรคปวดหัวชนิดหนึ่งซึ่งมีอาการรุนแรงมากแตกต่างกับอาการปวดหัวธรรมดา มักจะปวดหัวซีกใดซีกหนึ่งเป็นเวลานาน 4-72 ชั่วโมง ซึ่งยาแก้ปวดธรรมดาไม่อาจช่วยได้ อาการปวดจากไมเกรนจึงค่อนข้างทรมานมากไมเกรนมักพบในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นไมเกรน เกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า มักเกิดในช่วงอายุ 25-55 ปี นอกจากนี้อาจมาจากสาเหตุอื่นได้แก่ อารมณ์และความเครียด อาหารบางชนิด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิดโดยเฉพาะในระยะที่ใกล้มีประจำเดือนหรือใน 2 วันแรกของการมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลง อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงในผู้หญิงบางคนได้ การเปลี่ยนแปลงของอากาศหรืออุณหภูมิ ยาบางชนิด แสงสว่างที่จ้ามากเกินควร กลิ่นที่รุนแรงและควัน เช่นควันบุหรี่ อาการซึมเศร้า การอดอาหารหรืองดอาหารบางมื้อ อดนอนกลไกในการเกิดไมเกรนยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่นักวิจัยเชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติในการขยายและหดตัวของหลอดเลือดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางชนิดในสมอง ที่ชื่อว่า เซโรโทนิน (Serotonin) เมื่อระดับของเซโรโทนินในสมองลดลงจากระดับปกติ ทำให้หลอดเลือดในสมองขยายตัวเซลล์ประสาทปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดออกมา โภชนบำบัดบรรเทาไมเกรนมีปัจจัยด้านอาหารมากมายที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวหรือปวดไมเกรนได้ บริโภคอาหารไม่เป็นเวลา หรือการงดอาหารบางมื้อ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำและเกิดการปวดหัวได้ง่าย อุณหภูมิของอาหาร อุณหภูมิเย็นจัด ของอาหารบางชนิด เช่น ไอศกรีม ถ้าหากรับประทานเร็วๆอาจ กระตุ้นอาการปวดหัวได้ในบางคน อาหารบางชนิดกระตุ้นอาการไมเกรน แต่เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าอาหารชนิดใดกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวเพราะระดับความทนของร่างกายในแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน และยังไม่มีอาหารชนิดใดสามารถบำบัดไมเกรนได้ สารอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรน สารไทรามีน (tyramine) พบเป็นองค์ประกอบธรรมชาติในอาหาร ได้แก่ เนยแข็ง (cheese) เครื่องในสัตว์ ปลาเฮอริ่ง ถั่วลิสง เนยถั่ว ช็อคโกแลต กะหล่ำปลีดอง ไส้กรอก กล้วยสุกงอม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเบียร์ ผู้ที่มีความไวต่อสารไทรามีน เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง สารเฟนนิลเอททิลลามีน (Phenylethylamine หรือย่อว่า PEA) สารชนิดนี้ทำให้ปวดหัวได้สำหรับบางคน พบในช็อกโกแลตหรือโกโก้ แต่งานวิจัยในระยะหลังไม่อาจสรุปได้ว่าช็อกโกแลตจะกระตุ้นอาการไมเกรน สารแทนนิน แทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น น้ำแอปเปิ้ล ชา กาแฟ ช็อคโกแลต ไวน์แดง เป็นต้น ถึงกระนั้นข้อมูลที่พบก็ยังไม่สามารถยืนยันเกี่ยวกับฤทธิ์การกระตุ้นให้เกิดไมเกรนเมื่อรับประทานสารแทนนินหรือสารไทรามีนเข้าไป สารเจือปนอาหาร (Food additives) สารปรุงแต่งรสหรือวัตถุกันเสียบางชนิด เช่น น้ำตาลเทียม ผงชูรส และดินประสิว ซึ่งใช้ใส่ในไส้กรอก แฮม เบคอน หรืออาหารรมควัน อาจกระตุ้นอาการปวดหัวได้ ผงชูรสอาจทำให้มีอาการปวดหัว ผู้ที่ร่างกายมีความไวต่อผงชูรสควรพยายามหลีกเลี่ยงขอบคุณเนื้อหาดๆีจาก "เพื่อนพัด"

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เก็บเรื่องราวดีๆ


ในชีวิตทุกคนล้วนผ่านสิ่งต่างๆ มามากมาย มีสักกี่คนที่จะจดจำสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ยาวนาน บันทึกไดอารี่ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยบันทึกความทรงจำต่างๆ มิให้ลืมลืนหรือจางหาย

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หล่อม่ะ