วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

amazing

ไปเที่ยวไหนดี 365 วันเที่ยวเมืองไทยไปได้ทุกวัน จะขึ้นเหนือ จะล่องใต้ จะปีนภู ท่องทะเล ดำน้ำดูประการัง สัมผัสวัฒนธรรมวิถีชีวิต เที่ยวชมงานเทศกาลประเพณีต่างๆทั่วเมืองไทย หากคุณยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน หรือเมืองไทยทีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนบ้าง ลองมาดูกันว่าใน 365 วัน คุณสามารถไปเที่ยวไหนได้บ้างในเมืองไทย ท่องเที่ยวทั่วไทยออกไปได้ทุกวัน
น้ำตกสวนห้อม
Hin is a famous beach resort town in Thailand, Located in the northern part of the Malay Peninsula. It has a population of 84,883 over the area of 911 km2, some 200 km south of Bangkok, Thailand and is one of 8 districts of the Prachuab Khiri Khan province. Hua Hin Town is located in the coast of Hua Hin District. With an area around 86.36 sq. kilometers, the town has about 50,000 inhabitants. It is a beach town for Bangkok's elite.
Following the international trend for recuperative spa resorts in 1920's, Hua Hin became a popular retreat for Thai Royal Family, Bangkok's high society, and affluent foreigners. Although Hua Hin's fortunes declined after WW II, its historical connections have helped it become popular again with a new generation of Bangkokians. The town has two main streets. For those who arrive on the train, the main street, Damnern Kasem boulevard leads from the stately Hua Hin Railway Station, straight to the main Hua Hin beach a distance of 1km, passing various government offices and ending on the beachfront by the side of the former Royal Railway Hotel, now the five-star Sofitel Central Hotel Hua Hin.
Generally, Hua Hin does not have rowdy beer bars and raucous nightlife as on the other side of the Gulf. The superior beaches, wide open endless stretches of fine powdery white sand, are relatively serene and clean, the pace of life calm and relaxing, and ideal place to bring the family for their annual holiday

เก็บมาฝาก

แน่นอนว่าเวลาเลิกกันคุณจะกลับมานอนร้องไห้ฟูมฟายและคิดถึงสิ่งที่ดีๆ วันเก่าที่ผ่านเข้ามา คิดถึงคำพูดที่ว่าเขาชอบเราตรงไหน และตรงไหนที่เราชอบเขา รวมไปถึงอะไรที่เราไม่ชอบและอะไรที่ทำให้สุดท้าย ความรักมันต้องจบลง ตัวอย่างจากดาราหลายต่อหลายคู่ที่เลิกรากันไป สะท้อนให้เห็นถึงความเกินจะทนในการใช้ชีวิตคู่ แต่หากจะลองย้อนกลับมา "ป้องกันก่อนจะสาย" น่าจะเป็นผลดี
เรามาลองคิดดูว่า "จะเป็นอย่างไร" ถ้าเราสามารถนึกถึงสิ่งดี ๆ ที่แฟนเรามีได้เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน
เกมนี้มีชื่อว่า "สิ่งดีๆ ของสองเรา"กติกามีอยู่ว่า ทั้งเขาและเธอต้องหาสิ่งดีๆ ของแต่ละฝ่ายมาให้ได้ 3 อย่าง แล้วหาข้อที่อยากให้ปรับปรุงของแต่ละฝ่ายมาให้ได้ 1 อย่าง เวลาเล่นควรเป็นเวลาสลายๆ ผ่อนคลายของทั้ง 2 คน เช่น เวลานอนคุยกันกระหนุงกระหนิง (Pillow talk) เริ่มต้นเล่นโดยใครก่อนก้ได้ โดยพูดสิ่งที่ดีๆ สลับกันไปคนละ 2 อย่าง ต่อด้วยสิ่งที่อยากให้ปรับปรุงของแต่ละฝ่าย แล้วปิดท้ายด้วยสิ่งดีๆ อีก 1 อย่าง
I-statementโดยก่อนที่จะเริ่มเกม ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องเรียนรู้บทเรียนที่เรียกว่า I-statement ก่อนเพื่อใช้ในการพูด ข้อที่อยากให้เขาปรับปรุง นั่นคือ การเปลี่ยนคำพูดจาก "ทำไมคุณ ..." เป็น "ฉันรู้สึกว่า..." หรือ "ฉันอยากให้ ..." เพราะการขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า "ทำไม" จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงการถูกจับผิดหรือไม่พอใจ แต่การพูดแบบ I-statement จะช่วยเพิ่มความหวานให้กับชีวิตคู่และสามารถสื่อสิ่งที่ต้องการสื่อจริงๆ ได้ตรงใจมากกว่า เช่น
"ทำไมคุณกลับดึกจัง" อาจมีความหมายว่า "ฉันอยากใช้เวลาร่วมกับคุณมากขึ้นกว่านี้
"ทำไมคุณไม่โทรมาบอกก่อนว่าวันนี้มาไม่ได้" อาจมีความหมายว่า" ฉันอยากได้รับการบอกกล่าวสื่อสารจากคุณบ้าง
"ทำไมคุณต้องดื่มเยอะอย่างนี้ด้วย" อาจมีความหมายว่า "ฉันเป็นห่วงคุณนะ เวลาเห็นคุณดื่ม กลัวว่าขับรถแล้วจะเป็นอันตราย"
"ทำไมไม่ยอมตอบที่ฉันถาม" อาจมีความหมายว่า "ฉันน้อยใจนะเวลาถามแล้วคุณไม่ตอบ"
เริ่มเกมให้เริ่มจากกาารหาสิ่งดีๆ 3 อย่างให้ปรับปรุง 1 อย่าง เป็นเพราะเป็นธรรรมชาติของคนทุกคนที่ไม่ชอบถูกตำหนิ การชมอีกฝ่ายหนึ่งก่อนจึงเป็นเหมือนการเปิดหน้าต่างการรับฟัง รวมทั้งการปิดท้ายด้วยคำชม จะทำให้บรรยกาศการพูดคุยนุ่มนวลขึ้น นอกจากนี้การหาสิ่งดีๆ ให้มากกว่าสิ่งที่ไม่ดีเป็นการฝึกมุมมองของเราให้เห็นสิ่งดีๆ ได้ชัดเจนขึ้น การเล่นเกมนี้อาจทำให้เขิลกันได้ในช่วงแรกๆ แต่หากเล่นกันเป็นประจำ ทำแบบนี้กันเป็นกิจวัตร จะช่วยให้คนทั้งคู่มีการปรับตัวเข้าหากันแบบประนีประนอม และช่วยเพิ่มความหวานให้กับชีวิตคู่แบบระยะยาว
ผลลัพท์สำหรับชีวิตคู่แล้ว การมองเห็นข้อดีของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เราอาจลืมไปแล้วว่าจุดเริ่มต้นของคำว่ารัก เรามองเห็นสิ่งดีๆ ของคู่ของเรามากเพียงใด เราอาจลืมไปแล้วว่าสิ่งดีๆ เหล่านั้นในตัวของแฟนเรานี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรักของทั้งคู่ของ เรา ความเคยชินในชีวิตคู่อาจทำให้เราชินชากับความดีของคนใกล้ตัว และมีสายตาไวขึ้นที่จะจ้องจับผิดข้อไม่ดี ตั้งสติดีๆ แล้วลองถามตัวเองดูว่าวันนี้ เรามองเห็นสิ่งดีๆ อะไรบ้างในคู่ของเรา

Take home message : อย่าลืมมองให้เห็นข้อดีมากกว่าข้อเสียในคู่ของคุณ
แหล่งข้อมูล : COSMOPOLITAN

เลขที่ออก 16 ธค 53

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 16 ธ.ค. 53
ผลการออกรางวัล
งวดวันที่ 16 ธันวาคม 2553
รางวัลที่ 1
334380
รางวัลเลขท้าย 3 ตัว
306 315 529 533
รางวัลเลขท้าย 2 ตัว
24
รางวัลที่ 1 พิเศษ
สลากกินแบ่งรัฐบาล กลุ่มที่ 1 ชุดที่ เลขที่ 334380
สลากกินแบ่งรัฐบาล กลุ่มที่ 2 ชุดที่ เลขที่ 334380

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทรัมไดร์ท

เชื่อไหม? แฟลชไดรฟ์ใช้ได้นานแสนนาน
คุณผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินมาว่า แฟลชไดรฟ์ ที่นิยมใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้ สามารถเขียนข้อมูลได้นับล้านครั้ง โห...อะไรจะคุ้มขนาดนั้น ถ้าใช้ได้นานขนาดนี้จริงก็ดีน่ะสิ แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้ใช้จะพบว่า มันมักมีอันจากไปก่อนเวลาอันควรเรื่อยเลยคำตอบแบบฟันธงก็คือ แฟลชไดรฟ์ทั่วไปไม่สามารถใช้บันทึกข้อมูลได้ถึงล้านครั้งหรอกครับ ขนาดผู้นำอย่าง Sandisk ยังออกมาบอกเลยว่า หน่วยความจำแฟลชของเขาสามารถทนต่อรอบการเขียนข้อมูล(write cycle) ได้ประมาณ 10,000 ครั้ง ซึ่งสำหรับคำว่า write cycle ในที่นี้หมายความว่า การเขียนและลบไฟล์นั้นออกไป อย่างไรก็ตาม มันมีความเป็นไปได้ว่า หน่วยความจำบางส่วนในแฟลชไดรฟ์เสียไปแล้ว แต่เราก็ยังสามารถใช้ส่วนที่เหลือได้เป็นปกติ เพียงแต่จะไม่สามารถเขียนข้อมูลลงบนส่วนที่เสียหายได้เท่านั้น ความรู้สึกว่า แฟลชไดรฟ์ของผู้ใช้ก็คือ มันยังปกตินั่นเอง
โครงสร้างภายในของแฟลชไดรฟ์แฟลชไดรฟ์บางรุ่นที่ฉลาดหน่อยจะมีอัลกอริธึมที่ป้องกันไม่ให้คอมพิวเตอร์เขียนข้อมูลซ้ำลงบนหน่วยความจำเดิมอยู่บ่อยๆ โดยเลือกให้ไปเขียนในบริเวณอื่นบ้าง ด้วยวิธีนี้ก็จะแก้ปัญหาหน่วยความจำบางส่วนเสียอย่างรวดเร็ว เนื่องจากถูกเขียนบ่อยกว่าบริเวณอื่นนั่นเองด้วยความที่หน่วยความจำประเภทนี้ไม่มีกลไกการเคลื่อนไหวใดๆ โอกาสที่มันจะเสียหายจึงมีน้อย แต่แล้วทำไมเพื่อนของนายเกาเหลาคนนึงถึงได้เปลี่ยนแฟลชไดรฟ์ในระยะเวลาไม่กี่เดือนทุกที พอสอบถามจึงได้ความว่า เขาใช้แฟลชไดรฟ์ในการถ่ายโอนไฟล์งานข้ามแผนก ตลอดจนรับไฟล์จากเครื่องลูกค้า เรียกได้ว่า วันหนึ่งๆ แฟลชไดรฟ์ของเขาต้องเสียบเข้า เสียบออกกับคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ บ่อยมาก ซึ่งมันอาจจะเกิดปัญหากับคอนเน็คเตอร์ยูเอสบีก็ได้ ทำให้ระบบแจ้งข้อผิดพลาดว่า ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในแฟลชไดรฟ์ของเขาได้ ความจริงกรณีนี้ ชิปหน่วยความจำที่อยู่ภายในอาจจะไม่ได้เสียหายเลย แต่เป็นคอนเน็คเตอร์ต่างหากที่มีปัญหา
ปัญหาคอนเน็คเตอร์ USB ไม่แข็งแรงนอกจากนี้ การถอดแฟลชไดรฟ์ออกจากเครื่องขณะที่กำลังเขียนข้อมูลเข้าไป หรือใช้แฟลชไดรฟ์กับโน้ตบุ๊กที่แบตกำลังจะหมด เหตุการ์ณทั้งสองนี้ ระบบจะแจ้งว่า มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นกับแฟลชไดรฟ์ได้เหมือนกัน สำหรับข้อผิดพลาดเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่า แฟลชไดร์ฟของคุณเสียแล้ว วิธีแก้ง่ายๆ ก็เพียงแค่ฟอร์แมตใหม่ อาการเพี้ยนก็จะหายไปแล้วครับ ยกเว้นปัญหาเกิดจากคอนเน็คเตอร์ USB เพื่อความมั่นใจ ควรเลือกใช้แฟลชไดรฟ์จากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ อย่าซื้อเพราะแค่ถูกอย่างเดียว เพราะข้อมูลสำคัญที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์อาจมีมูลค่ากว่าราคาของมันหลายเท่านัก และที่สำคัญอย่าไว้ใจอุปกรณ์พวกนี้มากเกินไป ควรจะทำสำรองไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ ไว้บนสื่อบันทึกอื่นๆ ไว้ด้วย ขอให้คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน โชคดีนะครับทิปจาก : www.arip.co.th

ท่องเที่ยวปีใหม่


หวัดดีครับเพื่อนๆ
อากาศช่วงนี้เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวอาการหนาว ยังไงก็ขอให้รักษาสุขภาพด้วยนะคร๊าบ ใกล้ปีใหม่แล้วมีโครงการเที่ยวกันกันครับเพื่อนๆ นานๆ ทีมีครั้ง จะไปเที่ยวไหนในช่วงนี้ก็ศึกษาหาข้อมูลด้วยนะครับ เพราะช่วงเทศกาศท่องเที่ยวส่งท้ายปีใหม่แบบนี้ด้วยผู้คนก็เยอะต่างคนต่างรีบเร่งยังไงก็หาข้อมูลก่อนไปเที่ยวไว้บ้างเพื่อความสะดวกไม่ติดขัดครับพี่น้อง วันนี้มีเวปไซต์การท่องเที่ยวแนะนำคร๊าบผม http://www.tat.or.th/ ศึกษาหาข้อมูลก่อนไปเที่ยวได้เลยครับพี่น้อง

การเลือกบลูทูธ

ผู้อ่านคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาเพิ่งถอยมือถือรุ่นใหม่ออกมาเป็นตัวแรกของชีวิต ซึ่งเห็นว่ามันมีความสามารถในการเชื่อมต่อบลูทูธด้วย ทำให้เขาสนใจที่จะซื้อชุดหูฟังบลูทูธมาใช้ แต่ก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ก็เลยตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใช้แบบไหนดี
นายเกาเหลาก็เลยถือโอกาสอธิบายให้เขาฟังว่า ความจริง บลูทูธ (Bluetooth) ก็คือ มาตรฐานการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่ 3 คลาส (class) ด้วยกันคือ 1, 2 และ 3 โดยแต่ละคลาสจะเหมาะสำหรับการใช้งานที่ระยะ 100, 10 และ 1 เมตร ตามลำดับ ซึ่งในที่นี้แนะนำให้เลือกใช้บลูทูธที่ข้างกล่องระบุว่าเป็นคลาส 1 และ 2 นะครับ
ส่วนแฮนด์ฟรีที่ใช้ในรถยนต์ หรือเฮดเซตที่ใช้กับหูของคุณ ซึ่งใช้บลูทูธในการเชื่อมต่อไร้สายกับมือถือนั้น คุณสมบัติที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษก็คือ เวลาที่ใช้ในการสนทนา และสแตนด์บายของอุปกรณ์เหล่านี้ พยายามเลือกที่มีระยะเวลาทั้งสองอย่างเท่าๆ กับมือถือของคุณขั้นตอนสุดท้าย มือถือของคุณต้องเข้าคู่กับเฮดเซตได้ ซึ่งการเข้าคู่ (pairing) ในที่นี้ก็คือ ขั้นตอนที่อุปกรณ์บลูทูธทั้งสองตัวพยายามจะสื่อสารซึ่งกันและกัน ซึ่งหมายถึง มือถือ กับชุดหูฟังบลูทูธของคุณนั่นเองทิปจาก : www.arip.co.th

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สลัดเรื่องไร้สาระ


วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ เกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง...ครั้งแล้วครั้งเล่า นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติ และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติ หรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้ 1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป 2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลานิดหนึ่งก็ไม่ได้ นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรม โรคภัยรุมเร้า เพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา วิธีแก้ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง 3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น เพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวัง ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด วิธีแก้ เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต ถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด (แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริต เพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว) 4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรงวิธีแก้ ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ วิธีแก้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเอง ว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู 6. คิดเอาชนะผู้อื่น การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก ต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว วิธีแก้ พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน 8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น 9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น คิดทำไมไร้สาระทำตัวให้มีประโยชน์ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจากการกระทำก็พอ